เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมตัว สันติ คนร้าย ฆ่าคนไทย4ศพไต้หวัน หลังเข้า มอบตัว กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ รับสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำไป พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้สั่งการให้ผู้บัญชาการตำรวจหลายนาย เดินทางไปยังที่ทำการหมวดมวลชนสัมพันธ์ กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดน ที่ 335 ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เพื่อรับมอบและเข้าจับกุม นาย สันติ ชายวัย 35 ปี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาฆ่าคนไทย4ศพไต้หวัน
หลังจากที่ นาย สันติ ได้ติดต่อผ่านคนกลางเข้ามาว่าจะมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า นาย สันติ นั้นรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น จึงต้องการที่จะขอเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งในระหว่างการรับมอบในครั้งนี้มีนาย สุชาติ ชายวัย 63 ปี พร้อมกับคนในครอบครัวเป็นผู้พาเข้ามอบตัวเพื่อนำตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นในย่านจงลี่ของไต้หวัน เปิดเผย ถึงความคืบหน้า เหตุฆาตกรรม สามี-ภรรยาชาวไทย หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่่ผ่านมา (10 มิ.ย.65) เวลา 09.00 น. ทางสถานีตำรวจฯ ได้รับแจ้งจากชาวบ้านถึงกลิ่นเหม็นเน่า โชยมาจากลานจอดรถหน้าสถานีรถไฟความเร็วสูงเถาหยวน
เมื่อไปตรวจสอบที่เกิดเหตุก็พบมีน้ำเหลืองไหล ออกจากท้ายรถสปอร์ตเอสยูวีหรูสีขาว ยี่ห้อ BMW X4 ตรวจสอบภายในท้ายของรถยนต์ก็เจอศพของชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าน่าจะเสียชีวิตมาแล้ว 2 วัน พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้แถลงความคืบหน้าคดี คนไทยฆ่าคนไทย4ที่ไต้หวันก่อนหมักไว้ที่ท้ายรถหรู หลังจากที่เจ้าหน้าที่เดินหน้าติดตามตัว นายสันติ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญในคดีดังกล่าว
ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยว่า บุคคลใกล้ชิดของนายสันติได้ประสานติดต่อเข้ามาว่า นาย สันติ ขอมอบตัว โดยยืนยันว่าคนกลางดังกล่าวไม่ใช่ผู้มีอิทธิพลแต่อย่างใด และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังไม่ได้พูดคุยกับนายสันติโดยตรงอีกด้วย จึงยังไม่มีการนัดหมายวันและเวลาเข้ามอบตัว แต่ได้รับแจ้งว่า จะพยายามเข้ามอบตัวให้เร็วที่สุด
“ขณะนี้จึงมีความเป็นไปได้ที่นายสันติอาจจะยังคงอยู่ในประเทศ หรืออาจหลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้านก็เป็นได้ ทราบด้วยว่า ทางเจ้าตัวนั้นรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น จึงต้องการที่จะขอเข้ามอบตัว” พล.ต.ท.จิรภพ กล่าว
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นในย่านจงลี่ของไต้หวัน เปิดเผย ถึงความคืบหน้า เหตุฆาตกรรม สามี-ภรรยาชาวไทย หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่่ผ่านมา (10 มิ.ย.65) เวลา 09.00 น. ทางสถานีตำรวจฯ ได้รับแจ้งจากชาวบ้านถึงกลิ่นเหม็นเน่า โชยมาจากลานจอดรถหน้าสถานีรถไฟความเร็วสูงเถาหยวน
เมื่อไปตรวจสอบที่เกิดเหตุก็พบมีน้ำเหลืองไหล ออกจากท้ายรถสปอร์ตเอสยูวีหรูสีขาว ยี่ห้อ BMW X4 ตรวจสอบภายในท้ายของรถยนต์ก็เจอศพของชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าน่าจะเสียชีวิตมาแล้ว 2 วัน
ร้าวฉานต่อเนื่อง! ‘เต้ มงคลกิตติ์’ ถอด อัจฉริยะ และ กฤษณะ ออกจากทีม
ความสัมพันธ์ของ เต้ มงคลกิตติ์ และ อัจฉริยะ ยังคงร้าวฉานอย่างต่อเนื่อง และล่าสุด มงคลกิตติ์ ถอด กฤษณะ และ อัจฉริยะ ออกจากทีมแล้ว นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หรือ ส.ส.เต้ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้โพสต์ภาพผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งว่าเป็นเอกสารแจ้งยกเลิก นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ และนายกฤษณะ ศรีบุญพิมพ์สวย ออกจากที่ปรึกษากฎหมายหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ หลังจากในช่วงที่ผ่านความสัมพันธ์ของทั้งสองร้าวฉานต่อเนื่อง
โดยในเอกสารฉบับดังกล่าวระบุว่า “เนื่องด้วย เมื่อวันที่ 14 มี.ค.65 พรรคไทยศรีวิไลข์ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งที่ปรึกษากฎหมายหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ที่ 01/2565 เพื่อคำเนินงานเกี่ยวกับการแสวงหาข้อมูล หลักฐาน ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับคดีการเสียชีวิตของนางสาวภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์(แตงโม) ให้เกิดความกระจ่าง รวดเร็ว ตอบสังคมได้ตามความเป็นจริง เพราะเป็นคดีที่พี่น้องประชาชนไทยกว่า 66 ล้านคน และนานาชาติ ต้องการค้นหาความจริงว่า การเสียชีวิตนั้นเกิดจากสาเหตุใด เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมทุกภาคส่วนฯ
บัดนี้ พรรดไทยศรีวิไลย์ทราบว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งไปนั้น มิได้ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามนโยบายของหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ จึงอาศัยอำนาจตามข้อบังคับของพรรคไทยศรีวิไลย์ พ.ศ.2565 ข้อ 31(12) จึงขอยกเลิกแต่งตั้งที่ปรึกษากฎหมายหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลซ์ ตามรายชื่อต่อไปนี้ 1.นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ 2.นายกฤษณะ ศรีบุญพิมพ์สวย ทั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
ก่อนหน้านี้ เต้ มงคลกิตติ์ ได้เปิดตัวทีมสืบสวนและทีมกฎหมาย เพื่อแสวงข้อมูล พยาน หลักฐานในการตามหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของ แตงโม นิดา โดยในเอกสารได้แต่งตั้งสามาชิก 13 คน ซึ่งมี อัจฉริยะ และ ฤษณะ นั่งรวมอยู่ด้วย
ในช่วงท้าย นายสิระ ให้ นายไชย์พล สัญญากับประชาชนว่า ในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ซึ่งศาลจะเชื่อหรือไม่นั้น และจะยกฟ้องหรือตัดสินว่ามีความผิด จะต้องยอมรับในดุลพินิจของศาล แต่ขอให้มีการแสดงพยานหลักฐานหักล้างอย่างเต็มที่ ด้าน นายไชย์พล กล่าวยืนยันว่า “จะเคารพการตัดสินของศาล และไม่มีทางที่จะหนีไปไหน”
Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป